Loading...

Halloween คุยเรื่องผี ๆ แบบจิตวิทยา เรื่องที่ว่าปรากฏการณ์เกี่ยวกับ “ผี”

ต้อนรับเทศกาลฮาโลวีน อาจเรียกได้ว่าเป็นเทศกาลแห่งความสนุก ปาร์ตี้ และเรื่องผี ๆ แต่อย่าเพิ่งขนหัวลุกกันไปซะก่อน เรื่องผี ๆ ที่ว่าจะขอมาเล่าในมุมของจิตวิทยา

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ.2565

     ต้อนรับเทศกาลฮาโลวีน 31 ตุลาคม อาจเรียกได้ว่าเป็นเทศกาลแห่งความสนุกของเด็ก ๆ เทศกาลของปาร์ตี้ และเรื่องผี ๆ แต่อย่าเพิ่งขนหัวลุกกันไปซะก่อน เรื่องผี ๆ ที่ว่านี้ จะขอมาเล่าในมุมของจิตวิทยา

     หากพูดในเชิงจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์นั้น เรื่องผียังไม่สามารถพิสูจน์ได้ และยังหาข้อสรุปไม่ได้ก็จริง แต่ทว่านักจิตวิทยาพยายามหาคำอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผี

     ผศ.ดร.วรวัชร์ ตั้งจิตรเจริญ อาจารย์ประจำสาขาวิชาจิตวิทยา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่าว่า ผีหลอกหรือผีอำเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น ยกตัวอย่าง "ผีอำ" เกี่ยวกับภาวะการนอนหลับในช่วงหนึ่ง เรียกว่าช่วงหลับที่มีการเคลื่อนไหวของตาอย่างรวดเร็ว (Rapid Eye Movement: REM Sleep) ซึ่งมีการฝันเกิดขึ้นร่วมด้วย โดยปกติเมื่อฝัน ร่างกายจะพยายามตัดส่วนของมอเตอร์ฟังก์ชันไม่ให้เราขยับได้ ณ ช่วงนั้น แต่เมื่อมีความผิดปกติในวงจรการหลับเกิดขึ้นจะทำให้เรารู้สึกตัว แต่ร่างกายยังกดการทำงานมอเตอร์ฟังก์ชันของเราไว้ ทำให้เราขยับไม่ได้ และเราจะเริ่มตีความสิ่งเร้า หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา เช่น คิดว่ามีผีมานั่งทับ มีบางสิ่งบางอย่างมากดไว้ สิ่งเร้าเหล่านี้เป็นการอธิบายปรากฏการณ์ผีอำในทางจิตวิทยา

“ผีหลอก” มุมมองเชิงจิตวิทยา

     การหลอกหรือผีหลอก สำหรับนักจิตวิทยาส่วนใหญ่จะเชื่อว่าเป็น Hallucination หรือภาพหลอน เป็นการตีความสิ่งเร้าภายใต้ภาวะที่มีความกำกวม สังเกตได้ว่าเวลาเจอผีหลอก หรือคนอื่นเล่าให้ฟัง ส่วนมากจะไม่ได้เจอแบบเปิดประตูมาแล้วเห็นผีเต็ม 100% แต่มักจะอยู่ในสถานที่ที่มีแสงสลัวๆ มืดๆ ในขณะที่สิ่งเร้ามีความกำกวมมาก คนจะตีความสิ่งเร้าโดยอัตโนมัติ โดยตีความไปตามสิ่งที่เราเชื่อ และใช้ประสบการณ์เข้าไปร่วมด้วย จะเห็นได้ว่า "ผีหลอก" มักเป็นไปตามเรื่องเล่าที่ปรากฏขึ้นในสังคม ผีไทย ผีจีน ผีฝรั่ง จะไม่เหมือนกัน เพราะเรื่องเล่าในแต่ละสังคมและบริบทแตกต่างกัน เช่น ในแอฟริกา แม้จะมีต้นกล้วยเยอะแต่ไม่มีผีตานี เพราะเขาไม่มีเรื่องเล่าปรากฏบริเวณนั้น แต่ของไทยนั้น ผีตานีสวมใส่สไบ อาจเห็นในภาวะกลางคืน ในดงกล้วย ตัวใบกล้วยมีความคล้ายคลึงกับสไบ ทำให้เราตีความในเชิงนั้นได้ อย่างไรก็ตามมันอาจเป็นภาพที่เราสร้างขึ้นมาในขณะที่สิ่งเร้ามีความกำกวมมากให้มีความสอดคล้องกับความรู้ของเราที่มี

ก็กลัวผีนะ... แต่ก็ติดฟังเรื่องผีอยู่ดี

     มีคำอธิบายเกี่ยวกับการชอบเสพสื่อทางลบ ซึ่งเรื่องผีเป็นเรื่องเล่าที่ไม่ได้สวยหรู สามารถอธิบายได้ว่าทำไมคนถึงชอบฟังเรื่องผี คือ 1. การแสวงหาแรงกระตุ้นเร้าจากอารมณ์ หรือจากความรู้สึกกลัว (Sensation seeking) ถ้ามนุษย์อยู่ไปเรื่อย ๆ อาจรู้สึกเบื่อ แน่นอนว่าเรามีวิธีการแก้เบื่อหลายอย่าง อย่างการฟังเรื่องผี ซึ่งเป็นเรื่องตื่นเต้น มีความเหนือความคาดหมาย เมื่อได้ฟังก็เป็นแรงกระตุ้นเร้าอย่างหนึ่ง แม้จะเป็นเรื่องที่สร้างความรู้สึกกลัว มีคำอธิบายในทางชีววิทยาว่า ในช่วงที่เรากลัวและตื่นเต้น ร่างกายจะหลั่งอะดรีนาลีน และหลังจากที่เรากลัวสักพักหนึ่ง ร่างกายจะหลั่งสารโดพามีน ทำให้เรารู้สึกดี มีความสุข ทำให้เรารู้สึกเสพติดการฟังเรื่องผี เป็นการเรียนรู้แบบหนึ่ง

     2. การระบายออก (Catharsis) คนเรามีความรู้สึกหลายอย่าง ความก้าวร้าว ความกลัว เราต้องการระบายความรู้สึกเหล่านั้น ซึ่งเชื่อว่ามนุษย์มีการสะสมความรู้สึกกลัวอยู่ และการได้ฟังเรื่องผีเป็นเหมือนการระบายออกของความกลัวในรูปแบบหนึ่ง หากมองในในทางจิตวิเคราะห์ จะเป็นเหมือนการสร้างการเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ เช่น เวลาเราเสพเรื่องที่แย่ ๆ เราจะเกิดความเปรียบเทียบกับความเป็นอยู่ของเรา ณ ปัจจุบัน เรื่องผีคือเรื่องทางลบ เป็นเรื่องที่มีความเป็นโศกนาฏกรรม พอเราเสพสิ่งที่มันอยู่ในสถานภาพเลวร้ายกว่า จึงเกิดการเปรียบเทียบว่า เรา ณ ปัจจุบันดีกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องราวนั้น มันก็สร้างความรู้สึกดีกับเราได้ในรูปแบบหนึ่ง

     สุดท้าย 3. ความเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ทางสังคม บางครั้งเราอาจไม่ได้ฟังเรื่องผีคนเดียว อาจฟังในลักษณะเป็นกลุ่ม ย้อนไปในอดีต 10-20 ปีที่แล้ว เราชอบฟังเรื่องผี แต่ในหลาย ๆ ครั้ง เราก็ไม่ฟังคนเดียว จะมีการแชร์กับเพื่อน ๆ จึงมองได้ว่าเป็นกิจกรรมทางสังคมได้ และหากมองในเชิงพิธีกรรมทางสังคม (Ritual) อาจเป็นการฝึกการก้าวข้ามความกลัวของวัยรุ่นชาย ใครแสดงออกมาก-น้อย คนไหนกลัวมาก อาจถูกบูลลี่หรือถูกล้อได้ เป็นการหล่อหลอมทางสังคมรูปแบบหนึ่ง

     “หากมองในปัจจุบัน ความเชื่อมโยงกับเทศกาลฮาโลวีน ก็อาจเป็นเหมือนกับการทำกิจกรรมทางสังคมอย่างหนึ่ง ซึ่งในต่างประเทศเอง ฮาโลวีนก็ไม่ได้เชื่อมโยงกับการเป็นผีที่น่ากลัว ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรม อย่างเด็ก ๆ แต่งตัว เพื่อไปเคาะประตูบ้านคนอื่นในช่วง 1-2 ทุ่ม (Trick or Treat) เป็นพื้นที่ให้มีกิจกรรมทางสังคมรูปแบบหนึ่ง” ผศ.ดร.วรวัชร์ กล่าว