ธรรมศาสตร์-จุฬาฯ-เชียงใหม่ ผสานมือเปิดบ้านสร้างเครือข่ายห้องสมุด มุ่งพัฒนาแบบครบวงจร
ธรรมศาสตร์-จุฬาฯ-เชียงใหม่ ลงนามความร่วมมือสร้างเครือข่ายห้องสมุด พร้อมแบ่งปันทรัพยากรสารสนเทศกว่า 4 ล้านรายการ หวังส่งเสริมการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา
วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2562
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลงนามความร่วมมือทางวิชาการระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เป็นการยกระดับความร่วมมือทางวิชาการร่วมกัน อีกทั้งยังส่งเสริมการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ อาทิ ทรัพยากรเป็นรูปเล่ม สื่ออิเล็กทรอนิกส์ สารสนเทศที่มีรวมกันกว่า 4 ล้านรายการ และการแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างหน่วยงานร่วมกันประมาณ 350 คน ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานร่วมกัน โดยเชื่อว่าความร่วมมืิอภายในระยะเวลา 3 ปีจะเห็นถึงการพัฒนาห้องสมุดทั้ง 3 สถาบันที่เข้มแข็งและเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน และการสร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการของทั้ง 3 สถาบัน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์เอกรินทร์ ยลระบิล ผู้อำนวยการหอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า หอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างห้องสมุดทั้งในและต่างประเทศ ควบคู่กับการพัฒนาบริการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการวิจัยรู้ทุกที่ทุกเวลา โดยที่ผ่านมาได้ร่วมสนับสนุนการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันทรัพยากรระหว่างห้องสมุด ทั้งในกลุ่มเครือข่ายห้องสมุดทั้งในและต่างประเทศ เครือข่ายห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาเอกชน (THAIPUL) และเครือข่ายงานห้องสมุดมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาค (PULINET) ผ่านบริการยืมระหว่างห้องสมุด
“ความร่วมมือในครั้งนี้เหมือนเป็นการเปิดประตู ห้องสมุดของ 3 สถาบัน เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอน การขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน การบริการที่มีประสิทธิภาพสู่ความเป็นเลิศภายใต้งบประมาณที่มีจำกัด” ผู้ช่วยศาสตราจารย์เอกรินทร์ กล่าว
ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.อมร เพชรสม ผู้อำนวยการสำนักงานวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีเป้าหมายสำคัญเพื่อการเป็นหอสมุดกลางของประเทศ ส่งเสริมการเรียนรู้แบบไม่มีขีดจำกัด ด้วยการพัฒนาบริการและนวัตกรรมใหม่ ๆ พร้อมกับการขยายความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่นกัน
สำหรับการลงนามความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ จึงเป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่จะเป็นประโยชน์ต่อทุก หน่วยงาน ไม่ได้เฉพาะหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นประโยชน์กับนิสิต นักศึกษา อาจารย์ และนักวิจัยของแต่ละสถาบัน ที่จะมีแหล่งค้นคว้าและใช้ข้อมูลได้กว้างขวางมากขึ้น รวมไปถึงบุคลากรของทั้ง 3 หน่วยงานที่จะได้ร่วมมือและปฏิบัติงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด อีกทั้งมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และแบ่งปันประสบการณ์การทำงานในมุมมองและบริบทที่แตกต่างเพื่อประสานการทำงานได้อย่างเหมาะสม
“ทางด้านศึกษางานห้องสมุด และบุคลากรของทั้ง 3 สถาบัน มีความโดดเด่น จุดแข็งที่แตกต่างกัน สามารถนำมาเติมเต็มร่วมกันให้งานห้องสมุดมีประสิทธิภาพ มีทรัพยากรเพิ่มขึ้น เหมือนมีห้องสมุดมาอีก 2 แห่ง โดยที่ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม” รองศาสตราจารย์ ดร.อมร กล่าว
ด้าน นางสาววรารักษ์ พัฒนเกียรติพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดียิ่งที่มหาวิทยาลัยทั้ง 3 แห่งได้ร่วมมือกันในการพัฒนาห้องสมุด เพราะเชื่อว่าแต่สถาบันต่างมีจุดเด่น และมีทรัพยากรสารสนเทศที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ ด้านศิลปวัฒนธรรม รวมไปถึงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยขับเคลื่อนผ่านห้องสมุดของทั้ง 3 สถาบัน ในการทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการและประสานงานด้านการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรสารสนเทศระหว่างกัน เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลาของนักศึกษา และสร้างความเข้มแข็งทางด้านแหล่งเรียนรู้เพื่อการค้นคว้าวิจัยของอาจารย์และนักวิจัยของแต่ละสถาบันด้วย
“ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ทำให้การบริการสื่อการเรียนการสอน การวิจัย นวัตกรรมต่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นแบบอย่างนำไปสู่ความร่วมมือในระดับที่กว้างขวาง และในระดับที่สูงขึ้นได้ในอนาคต” นางสาววรารักษ์ กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับแผนการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือทางวิชาการของทั้ง 3 สถาบัน อาทิ การจัดประชุมวิชาการ การพัฒนาทรัพยากรอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ หนังสือพิมพ์ฉบับย้อนหลัง ระบบหนังสือหายาก การศึกษาดูงานและเรียนรู้การทำงานทั้งในด้านจดหมายเหตุของสถาบันและคอลเลคชันพิเศษ การพัฒนาข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ WMS งานด้านการสื่อสารองค์กรและการผลิตสื่อมัลติมีเดีย รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาระบบบริหารคุณภาพตามมาตรฐาน ISO 9001:2015 เพื่อนำมาใช้ในการบริหารงานห้องสมุด ซึ่งหอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ผ่านการรับรองระบบมาตรฐานตั้งแต่ปี 2560 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ การที่ทั้ง 3 สถาบันได้มีความร่วมมือกันอย่างครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งในส่วนของการพัฒนาทางด้านวิชาการ บริการ บุคลากร และการพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศร่วมกัน นับได้ว่าความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ค้นคว้า วิจัย ของทั้ง 3 สถาบันเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการร่วมกันพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศซึ่งถือเป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของชาติ ซึ่งจะมีส่วนทำให้ภาคสังคมเข้าถึงทรัพยากรสารสนเทศอันเป็นขุมทรัพย์ทางปัญญานี้ได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นอีกด้วย