Loading...

อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ ธรรมศาสตร์ แนะคนไทยอย่าตระหนก “ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่”

 

ศ.นพ.อนุชา อภิสารธนรักษ์ อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุคนไทยอย่าเพิ่งวิตก แต่ให้เตรียมพร้อมรับมือหากเกิดขึ้นจริง

  


          เชื้อไวรัสโควิด-19 ยังไม่หายไปดี เสียงลือเสียงเล่าอ้างก็มีมาอีกกระแสว่าไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่ก็กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดอย่างทันท่วงที เราจึงควรจะเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์กับโรคอุบัติใหม่นี้

          ศ.นพ.อนุชา อภิสารธนรักษ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า G4EAH1N1 เป็นสายพันธุ์ลูกผสม ที่พบในหมูที่ประเทศจีน โดย G4 ย่อมาจาก Genotype ที่ 4 EA คือ Eurasian avian และ H1N1 เป็นไข้หวัดที่พบในมนุษย์ ซึ่งโดยปกติไข้หวัดใหญ่จะมีชิ้นส่วนพันธุกรรมอยู่ 8 ชิ้น จึงมีโอกาสปรับเปลี่ยนพันธุกรรมเป็นปกติ แต่คราวนี้เป็น Triple-reassortment คือจะมีการแลกเปลี่ยนพันธุกรรมระหว่างหมู นก และมนุษย์ ซึ่งเป็นไข้หวัดหมูชนิดใหม่ที่ยังไม่สามารถป้องกันได้โดยวัคซีน

          แนวโน้มของการระบาดเชื้อไวรัส G4EAH1N1 ที่จะเกิดขึ้นทั่วโลกนั้นคงตอบยาก เพราะขึ้นอยู่กับว่าไข้หวัดหมูสายพันธุ์นี้สามารถจับกับเซลล์และเพิ่มจำนวนในเยื่อบุทางเดินหายใจ ของมนุษย์ได้ดีขนาดไหน และในปัจจุบันวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่เราฉีดประจำปีก็ไม่ได้รวมไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่นี้ด้วย ซึ่งถ้าเกิดการระบาดขึ้นจริง กลุ่มผู้เลี้ยงสุกรก็จะเป็นกลุ่มเสี่ยงในการเกิดโรคนี้เป็นอันดับต้น ๆ และมีโอกาสแพร่ระบาดในไทย เพียงแต่ว่าในตอนนี้ยังไม่เกิดเหตุการณ์ขึ้น และถ้าเกิดขึ้นคงจะเกิดในประเทศจีนก่อน ดังนั้นเราจึงยังไม่ควรวิตกไปก่อน

   

          “เนื่องด้วยโรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำ เช่น โรคไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่นี้ จะเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยตอนแรกเกิดขึ้นมาจากสัตว์ และจะเกิดขึ้นมาอย่างไม่หยุดในชีวิตของพวกเรา ฉะนั้นสิ่งที่มีความจำเป็นสำหรับประชาชนทั่วไปคือควรจะศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่โรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำ มีความใส่ใจเกี่ยวกับสุขภาพของสัตว์เลี้ยง รวมถึงมีความเข้าใจมาตรการการป้องกันการแพร่จากสัตว์มาสู่คน และจากคนมาสู่คน ซึ่งความเข้าใจเหล่านี้จะสามารถทำให้เราเข้าใจตนเองให้ปลอดภัยจากโรคไข้หวัดใหม่หรือโรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยพบมาก่อนได้” ศ.นพ.อนุชา กล่าวทิ้งท้าย