Loading...

ยืดอายุมะม่วงถึง 1 เดือน! วิทยาศาสตร์ฯ ธรรมศาสตร์ คิดค้นนวัตกรรมบอกลาปัญหามะม่วงช้ำ-เน่า

นักวิจัยคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คิดค้น “นวัตกรรมแถบสีบอกความสุก และนวัตกรรมชะลอการสุกมะม่วง” รับดีมานด์อุตสาหกรรมส่งออกผลไม้ไทย

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2561

          คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดตัว “นวัตกรรมแถบสีชีวภาพบอกความสุก (Bio-ripeness indicator) และนวัตกรรมชะลอการสุกมะม่วง” ครั้งแรกของโลก! ลดอัตราการเสียหายของผลผลิตเมื่อวางจำหน่าย 100% โดยนวัตกรรมดังกล่าว ประกอบด้วย สารละลายกระตุ้นการสร้างสารสีคลอโรฟิลล์ (chlorophyll supplement) ให้มีปริมาณที่มากขึ้น พร้อมชะลอการทำงานของเอนไซม์ที่ทำหน้าที่สลายคลอโรฟิลล์ในมะม่วง สามารถชะลอได้สูงถึง 30 วันหรือ 1 เดือน โดยที่ไม่ทิ้งสารตกค้าง ถุงห่อแอคทีฟ (Active Bag) ทีมีช่องให้แสงผ่านพลาสติกชนิดเลือกแสงผ่าน เพื่อให้เกิดการสร้างคลอโรฟิลล์ได้มากที่สุด และส่วนบ่งบอกดัชนีความสุก คือ แถบสีอินดิเคเตอร์ (Indicator) เป็นแถบสีแสดงการสุกของเนื้อมะม่วงใน 4 ระยะ คือ สีเขียว-เนื้อมะม่วงที่ยังดิบ สีเหลืองอ่อน-เนื้อมะม่วงที่เริ่มสุก สีเหลือง-เนื้อมะม่วงที่พร้อมรับประทาน และ สีเหลืองเข้ม-เนื้อมะม่วงที่สุกเกินมาตรฐาน โดยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ โดยเฉลี่ยไม่เกิน 2 บาทต่อมะม่วง 1 ผล ทั้งนี้ล่าสุดผลงานดังกล่าว ได้รับรางวัลเหรียญทอง การันตีคุณภาพ จากเวทีประกวดสิ่งประดิษฐ์เวทีนานาชาติ ครั้งที่ 46 (46th International Exhibition of Inventions of Geneva) ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รวมทั้งได้ยืนการจดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพร้อมถ่ายทอดนวัตกรรมแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการที่สนใจ

          รศ.ดร.วรภัทร ลัคนทินวงศ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เพื่อเป็นการลดความสูญเสียของผลผลิตของมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองที่ส่งขายในตลาดต่างประเทศ โดยเพาะตลาดพรีเมียม และโมเดอร์นเทรด สำหรับการค้าและการส่งออก พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค จึงได้คิดค้นและพัฒนา “นวัตกรรมแถบสีชีวภาพบอกความสุก (Bio-ripeness indicator) และนวัตกรรมชะลอการสุกมะม่วง” โดยเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง 3 ส่วนหลักๆ คือ สารละลายกระตุ้นการสร้างสารสีคลอโรฟิลล์ (chlorophyll supplement) ทำหน้าที่สร้างคลอโรฟิลล์ให้มากขึ้น พร้อมกับชะลอการสลายตัวของคลอโรฟิลล์ในมะม่วง ด้วยการฉีด 1 ครั้งที่ผลก่อนการห่อผล และชะลอการสุกของมะม่วง สามารถชะลอได้สูงถึง 30 วันหรือ 1 เดือนที่อุณหภูมิ 12 องศาเซลเซียส โดยที่ไม่ทิ้งสารตกค้าง ถุงห่อแอคทีฟ (Active Bag) ใช้ห่อมะม่วงขณะอยู่บนต้นก่อนการเก็บเกี่ยว 1 เดือน โดยถุงห่อมีหน้าต่างให้แสงสามารถส่องผ่านถึงผลมะม่วงได้ เพื่อให้ผิวผลมะม่วงสร้างคลอโรฟิลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเก็บเกี่ยวมะม่วงมาแล้วผลมะม่วงจะมีสีเขียวของคลอโรฟิลล์เป็นวงกลม (หรือออกแบบหน้าต่างเป็นสัญลักษณ์เครื่องหมายการค้าของบริษัทแทนได้ มีสัญลักษณ์สีเขียว) สีเขียวนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามกระบวนการสุกของมะม่วงโดยเทียบกับแถบสีมาตรฐาน แถบสีอินดิเคเตอร์ (Indicator) แถบสีมาตรฐานแสดงการสุกของเนื้อมะม่วงใน 4 ระยะ ประกอบด้วย สีเขียว : เนื้อมะม่วงที่ยังดิบ สีเหลืองอ่อน : เนื้อมะม่วงที่เริ่มสุก สีเหลือง : เนื้อมะม่วงที่พร้อมรับประทาน และ สีเหลืองเข้ม : เนื้อมะม่วงที่สุกเกินมาตรฐาน ทั้งนี้ แถบสีอินดิเคเตอร์ดังกล่าว สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับผลผลิตที่ปลูกทั้งในแบบปกติ และออร์แกนิคได้อย่างมีประสิทธิภาพและพร้อมวัดผลได้อย่างแม่นยำ 100%

          สำหรับนวัตกรรม “นวัตกรรมแถบสีชีวภาพบอกความสุก และนวัตกรรมชะลอการสุกมะม่วง” ถูกพัฒนาขึ้นด้วยต้นทุนต่ำ โดยเฉลี่ยไม่เกิน 2 บาทต่อมะม่วง 1 ผล โดยที่สารกระตุ้นคลอโรฟิลล์ มีต้นทุนเฉลี่ยเพียง 20 สตางค์ต่อการฉีด 1 ครั้ง ถุงแอคทีฟ มีราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5-3  บาทต่อถุง และแถบสีอินดิเคเตอร์ มีต้นทุนเพียง 5 สตางค์ต่ออัน เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพผลผลิตของเกษตรกรให้สามารถวางจำหน่ายได้ในราคาที่สูงขึ้น หรือมีโอกาสวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ขณะที่ดิสทริบิวเตอร์ (Distributor) หรือผู้ประกอบการที่รับซื้อผลไม้เพื่อการค้าและการส่งออก ก็จะได้รับผลผลิตที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งลดอัตราการเสียหายของผลผลิตเมื่อวางจำหน่าย 100% กล่าวคือ หากผู้ประกอบการรับซื้อมะม่วงจากเกษตรกรจำนวน 100 ผล ก็จะสามารถจำหน่ายได้ครบทั้ง 100 ผล โดยที่ไม่มีผลผลิตช้ำหรือเน่าเสียจากการบีบ-กดของผู้บริโภค รศ.ดร.วรภัทร กล่าว

          ทั้งนี้ นวัตกรรมดังกล่าว ถือเป็นมิติใหม่ของการส่งเสริมการค้าและการส่งออกผลไม้ไทยให้สามารถส่งออกในตลาดพรีเมียม และตลาดต่างประเทศได้อย่างมีศักยภาพ ผ่านการบูรณาการองค์ความรู้ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีการเกษตรและการตลาด ตลอดจนเป็นการสนับสนุนให้เกษตรกรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลผลิต อันจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ