Loading...

นวัตกรรม ‘ระบบบริการสุขภาพผู้สูงอายุแบบองค์รวม’ มุ่งยกระดับระบบสุขภาพไทย

ในวันที่ประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นทุกปี ระบบสุขภาพจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน โดยบทความนี้จะพาไปรู้จักกับนวัตกรรมเชิงระบบที่ผสานปัญญาประดิษฐ์ เข้ากับพลังของการมีส่วนร่วมของชุมชน

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2568

     การเปลี่ยนแปลงทางสังคมมักเริ่มต้นจากคำถามเล็ก ๆ แต่ทรงพลัง เช่น “เราจะดูแลผู้สูงอายุของเราได้ดีแค่ไหน?” ในวันที่ประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นทุกปี ระบบสุขภาพจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนและลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่เรื่องการรักษา แต่ต้องเข้าใจ “ความเป็นมนุษย์” ในแบบองค์รวม บทความนี้จะพาไปรู้จักกับ นวัตกรรมเชิงระบบ ที่ผสานปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับพลังของการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์ด้านสุขภาพ แต่ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในระดับปฐมภูมิ โดยผ่านมุมมองของ ผศ. ดร.กิตรวี จิรรัตน์สถิต ผู้เชื่อมั่นว่านวัตกรรมที่แท้จริง คือการ “ฟังเสียงของผู้คนและใช้เทคโนโลยีอย่างเข้าใจ”

นวัตกรรมนี้คืออะไร

     ระบบบริการสุขภาพแบบองค์รวมสำหรับผู้สูงอายุในระบบบริการปฐมภูมิ เป็นนวัตกรรมเพื่อสังคมเชิงระบบ (Systemic Social Innovation) ที่มุ่งเสริมสร้างสมรรถนะของระบบสุขภาพไทยเพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัยอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และยั่งยืน นวัตกรรมนี้ขับเคลื่อนด้วยแนวคิดสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Health) ที่เน้นการสร้างเสริมสุขภาวะในมิติต่าง ๆ ของผู้สูงอายุ ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยวางระบบไว้บนฐานของการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ ได้แก่ หน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ครอบครัว ผู้นำชุมชน และตัวของผู้สูงอายุเอง ภายใต้แนวทางการดูแลแบบมีผู้สูงอายุเป็นศูนย์กลาง (Person-Centered Approach) ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้สูงอายุมีบทบาทเป็น “ผู้สร้างสุขภาวะ” ไม่ใช่เพียง “ผู้รับบริการ”

     นวัตกรรมนี้มีความโดดเด่นจากการผสานกลไกระดับชุมชนเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การใช้ AI Chatbot เพื่อคัดกรองภาวะสุขภาพจิตเบื้องต้น ระบบ Machine Learning เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมสุขภาพ และระบบ Health Dashboard สำหรับจัดการข้อมูลสุขภาพรายบุคคลและรายกลุ่ม เพื่อวางแผนการดูแลเชิงรุกอย่างแม่นยำ ทั้งนี้ ยังใช้กระบวนการออกแบบร่วม (Co-Design) เพื่อออกแบบแนวทางที่ตอบโจทย์พื้นที่และสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของในกลุ่มผู้มีส่วนร่วม

แรงบันดาลใจในการพัฒนานวัตกรรม

     ท่ามกลางบริบทที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิแม้จะมีความเข้มแข็งและใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด กลับยังมีข้อจำกัดในด้านการบูรณาการข้อมูล การประสานงานระหว่างหน่วยงาน รวมถึงการสื่อสารระหว่างบุคลากรสุขภาพกับครอบครัวและผู้สูงอายุ ในขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุต้องเผชิญกับปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุรวมถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ของสังคม ทั้งด้านภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาและภาระการดูแลที่เพิ่มสูงขึ้น

     สถานการณ์เหล่านี้จึงมิใช่เพียงปัญหา หากแต่เป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้เกิดแนวคิดนวัตกรรมเชิงระบบ ที่ตั้งต้นจากคำถามว่า “จะเชื่อมโยงสิ่งที่มีอยู่แล้วอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด” โดยไม่จำเป็นต้องสร้างสิ่งใหม่ทั้งหมด แต่เน้นการประสานพลังของภาคีที่มีอยู่ในชุมชนให้ทำงานร่วมกันอย่างมีกลไก พร้อมส่งเสริมศักยภาพของผู้สูงอายุให้เป็นพลังของสังคม

หลักการทำงานของนวัตกรรมและประโยชน์

     นวัตกรรมนี้มีหลักการทำงานแบบบูรณาการ 3 ประการ ได้แก่

 ▪️ การจัดตั้งทีมสุขภาพชุมชน เพื่อทำงานร่วมกันระหว่างบุคลากรสาธารณสุข อสม. ครอบครัว และผู้นำชุมชน ภายใต้แนวคิดผู้สูงอายุเป็นศูนย์กลาง โดยเน้นการเสริมศักยภาพและการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุ

 ▪️ การใช้เทคโนโลยี AI และระบบข้อมูลสุขภาพ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล ตัดสินใจ ออกแบบ และดำเนินการด้านสุขภาพเชิงรุกต่อกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสม เช่น AI Chatbot สำหรับคัดกรองสุขภาพจิต Machine Learning สำหรับวิเคราะห์พฤติกรรมสุขภาพ และ Dashboard สำหรับแสดงภาพรวมของข้อมูลสุขภาพรายบุคคลและรายกลุ่ม

 ▪️ การใช้กระบวนการ Co-Design ทำงานร่วมกับผู้สูงอายุ ครอบครัว และบุคลากรสุขภาพ เพื่อพัฒนากิจกรรมที่สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง

ประโยชน์ของนวัตกรรม

     นวัตกรรมนี้ช่วยปรับบทบาทของผู้สูงอายุจากผู้รับบริการไปสู่ผู้มีพลังในการดูแลสุขภาพตนเองและชุมชน โดยผ่านกระบวนการส่งเสริมพลังอำนาจ (Empowerment) ในเชิงเศรษฐกิจ นวัตกรรมช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายจากโรคเรื้อรังและลดอัตราการเข้ารับบริการในสถานพยาบาลโดยไม่จำเป็น ขณะเดียวกัน ภาครัฐก็สามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกัน ระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิเองได้รับการเสริมพลังผ่านการเชื่อมโยงข้อมูล การทำงานเป็นเครือข่าย และการใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการตัดสินใจเฉพาะราย พื้นที่ต่างๆ สามารถออกแบบบริการได้เหมาะสมกับบริบทและความต้องการของชุมชน กระบวนการออกแบบร่วมยังสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของในระดับบุคคลและชุมชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความยั่งยืนของนวัตกรรม

ข้อเสนอแนะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากริเริ่มนวัตกรรมเพื่อสังคม

     การสร้างนวัตกรรมเพื่อสังคมสำหรับคนรุ่นใหม่ ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากความรู้ด้านเทคโนโลยีหรือทุนทรัพย์สูง หากแต่เริ่มจาก “ความเข้าใจระบบ” และ “การมองเห็นคุณค่า” ของการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่มีผลต่อชีวิตผู้คน การริเริ่มควรเน้นการเชื่อมต่อสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ทำงานร่วมกันอย่างมีความหมาย เทคโนโลยีควรถูกใช้เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่จุดประสงค์หลัก โดยทุกนวัตกรรมควรตั้งอยู่บนคำถามว่า “จะช่วยให้ชีวิตผู้คนดีขึ้นได้อย่างไร” การออกแบบจึงควรมาจากเสียงของผู้ใช้ ไม่ใช่การคิดแทนผู้อื่น กระบวนการ Co-Design จึงไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นหัวใจของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง และเป็นแนวทางให้คนรุ่นใหม่สามารถร่วมสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนในระดับบุคคล ชุมชน และสังคม