Loading...

จากดินสอโดม...สู่ดิจิทัลโมเดล TU Startup พลังขับเคลื่อนคนรุ่นใหม่

จุดประกายคน GenZ ให้ก้าวออกจากพรมแดนการศึกษา สู่มิติทางธุรกิจของตัวเองกับนโยบายพัฒนา Startup Ecosystem@TU

วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ.2562

  

          การสร้างแรงบันดาลใจให้นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในการก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 อย่างเป็นผู้นำทั้งภาคธุรกิจและจิตสำนึกต่อสังคมที่ยั่งยืน คือการยกระดับทักษะความรู้ ความคิดและความเป็นผู้ประกอบการ และ Startup นับเป็นความท้าทาย ‘จุดประกาย’ คน Generation Z ให้ก้าวออกจากพรมแดนการศึกษา สู่มิติทางธุรกิจของตัวเอง ภายใต้การสนับสนุนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีนโยบายพัฒนา ‘ระบบนิเวศน์สตาร์ทอัพ’ (Startup Ecosystem@TU) อาทิ โครงการบ่มเพาะธุรกิจ พื้นที่การทำงานร่วมหรือ Co-working Space การจับมือพันธมิตรสำคัญ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสตาร์ทอัพในต่างประเทศ (Startup Exchange)

          ทั้งหมดล้วนนำไปสู่การแต่งแต้มไอเดียที่มีชีวิตชีวาผ่านระบบดิจิทัล แม้จะเป็นจุดเริ่มต้น โปรเจกต์เล็ก ๆ แต่ถ้าใครได้สัมผัสนักศึกษาผู้ผ่านกระบวนการบ่มเพาะหล่อหลอมทักษะแล้ว จะเห็นว่าความฝันของเด็กกลุ่มนี้ควรค่าแก่โอกาสในโลกที่เปิดกว้าง

          ‘มะเหมี่ยว’ อนัญชนา พัฒนานันท์ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับเพื่อนซี้ ‘เต้’ จิรายุ พุฒาพิทักษ์ พัฒนา ‘Horhere’ เพจใหม่เอาใจนักศึกษาที่มองหาหอพักใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ที่ขณะนี้เริ่มสร้างเครือข่ายและระดมทุนเพื่อทำให้ความฝันของเธอเป็นจริง

          “ปัจจุบันนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่อยู่หอพักมีมากถึง 50% ทำให้เราคิดว่าถ้าพวกเค้ามีข้อมูลที่มากพอ ทุกคนก็จะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ได้ จึงพัฒนาเพจ Horhere ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกลางในการติดต่อเรื่องเช่าหอพักอย่างเป็นระบบและน่าเชื่อถือให้แก่นักเรียนนักศึกษาในอนาคต”

          ‘มะเหมี่ยว’ เล่าว่า ปัญหาขณะนี้คือ นักศึกษาหลายคนต้องเดินทางมาจากต่างจังหวัด เพื่อจองหอพักที่ใกล้กับมหาวิทยาลัย บางหอพักได้รับความนิยมมากต้องมาจองคิวตั้งแต่ 05.00 น. โดยยังไม่รู้ว่าห้องว่างหรือไม่ บางคนเจอปัญหาการทำสัญญา โอนเงินไปแล้วแต่ผู้เช่าเดิมยังไม่ย้ายออก เพราะใช้บริการจากเว็บไซต์หรือเฟซบุ๊กที่ไม่น่าเชื่อถือ

          การสำรวจของทีมงาน Horhere ซึ่งมีทั้งสิ้น 8 คน พบว่ารอบ ๆ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีหอพักกว่า 38 แห่ง และมีพื้นที่ให้เช่าประมาณ 10,000 ห้อง แต่การขาดข้อมูลที่ดีและความไม่สะดวกในการประสานงานต่าง ๆ ทำให้นักศึกษาผู้หญิงบางคนต้องตัดใจ เช่าหอพักที่ไกลออกไป สุ่มเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยในชีวิตและการเดินทาง

          “เพจ Horhere เป็นโมเดลธุรกิจที่ตอบโจทย์เรื่องการเป็นตัวกลางประสานระหว่างหอพักกับผู้เช่า วางระบบการชำระเงินที่น่าเชื่อถือ โดยจะเริ่มต้นจากหอพักบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก่อน หากประสบความสำเร็จก็จะประชุมร่วมกับทีมงานเพื่อพัฒนาต่อไป”

          ที่ผ่านมาโปรเจกต์ Horhere ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ที่ให้ทุนสตาร์ทอัพคนรุ่นใหม่มาพัฒนาธุรกิจตามความฝันของอนัญชนาและเพื่อน ๆ และในอนาคตมีแผนพัฒนาไปสู่แอปพลิเคชันและเว็บไซต์ที่สมบูรณ์แบบต่อไป

          ขณะที่ “เต้” กล่าวว่า กว่าจะมาเป็นเพจ Horhere ในวันนี้ ทีมงานต้องระดมสมองเพื่อ Pitch ไอเดียในเวที “สตาร์ทอัพไทยแลนด์ลีก” จัดโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ต่อมาได้รับความสนใจและได้รับทุนสนับสนุนจากธนาคารออมสิน แต่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น อาจจะยังไม่เพียงพอเพื่อทำแอปพลิเคชันตามเป้าหมายที่ฝันไว้

          “แผนของเราคือเป็นตัวกลางระหว่างนักศึกษากับเจ้าของหอพัก ซึ่งส่วนใหญ่เคยทำธุรกิจแบบออฟไลน์ ด้วยการนำอินเทอร์เน็ตมาช่วยเหมือนแอร์บีแอนด์บี (Airbnb) หลังจากเปิดเพจระยะหนึ่งเราสามารถปิดดีลได้แล้วบางส่วน ขณะนี้กำลังเพิ่มฐานลูกค้าและทำคอนเทนท์ในเพจให้มากขึ้น ถ้าทำสำเร็จเราคิดว่าจะขยายไปสู่หอพักในโซนมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในอนาคต”

          อีกหนึ่งโครงการสตาร์ทอัพที่เป็นความภูมิใจของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และผ่านกระบวนการบ่มเพาะจนเกิดเป็นรูปเป็นร่าง และอยู่ระหว่างการทำแบบจำลองและเก็บข้อมูล (Prototype) คือการพัฒนาแอปพลิเคชันโอทอปไทยสู่ประเทศจีน... ‘Dà Tài’ หรือออกเสียงว่า ‘ต้าไท่’ แปลว่าไทยใหญ่ โดยมี ‘โบ’ กมลพร วีระวุฒิวงศ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และ ‘ซัมบี้’ นัฐชยา เชี่ยวชาญ นักศึกษาชั้นปี 4 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการพัฒนาแอปพลิเคชัน ‘Dà Tài’ ครั้งนี้

          ‘โบ’ เล่าไอเดียให้ฟังว่า แอปพลิเคชัน Dà Tài เริ่มจากการเห็นโอกาสที่คนจีนเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากและสนใจซื้อสินค้าไทยแต่ยังเข้าไม่ถึงแหล่งผลิตจริง ๆ หรือขาดข้อมูลในการตัดสินใจ จึงริเริ่มออกแบบแอปพลิเคชัน Dà Tài และลงพื้นที่สำรวจแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูลความต้องการของผู้ซื้อสินค้าชาวจีน โดยเฉพาะกลุ่มแบกเป้หรือ Backpack รวมถึงการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการโอทอปในประเทศด้วย

          “ในช่วงแรกสินค้าที่จะอยู่ในแอปพลิเคชันนี้คือกลุ่มที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจีนต้องซื้อกลับไป เช่น กระเป๋า กาแฟ มะม่วงอบแห้ง เริ่มจาก 500 รายการหลัก ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายให้ผู้ประกอบการที่ร่วมกับเรามีรายได้และกำลังใจที่จะพัฒนาต่อไป”

          สำหรับการส่งมอบสินค้าจะพยายามให้ถึงมือผู้รับภายใน 1 วัน ในขณะที่นักท่องเที่ยวจีนยังอยู่ในเมืองไทย หรืออย่างน้อยมีบริการส่งให้ที่สนามบินเพื่อความสะดวกในการนำกลับไปเป็นของขวัญแก่คนที่บ้าน

          ด้าน ‘ซัมบี้’ กล่าวเสริมว่า โดยส่วนตัวแล้วเป็นเด็กต่างจังหวัด เกิดที่พะเยาจึงเห็นผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว เป็นภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น แต่ปัญหาก็คือคนภายนอกยังไม่รู้จัก ขาดช่องทางการตลาด และไม่สามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอให้ชาวบ้านอยู่ได้ตลอดทั้งปี

          “เป้าหมายของเราคือสร้างพื้นที่การขายสินค้าโอทอปที่มีความน่าเชื่อถือ และได้รับการยอมรับเป็น แบรนด์ที่มีคุณภาพ โดยเบื้องต้นจะเน้นจำหน่ายในประเทศก่อน เพราะถ้าขายในต่างประเทศก็มีคู่แข่งสำคัญคือ อาลีบาบา และอเมซอน”

          หลังจากได้สำรวจความต้องการของตลาดแล้ว ทีมสตาร์ทอัพนำโดย “โบ” และ “ซัมบี้” ก็จะเริ่มออกแบบทางเทคนิคเพื่อพัฒนาแอปพลิเคชัน Dà Tài ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีโครงการบ่มเพาะธุรกิจ การสร้างพื้นที่ Co-working Space ถือว่าเป็นประโยชน์ในการแชร์ความคิดกับทีมงานและผลักดันให้ทุกคนกล้าที่จะก้าวออกไปหาความสำเร็จ

          “ตรงนี้เป็นความฝันของเรา เพราะเชื่อว่ามนุษย์ไม่มีข้อจำกัด แม้จะเรียนคณะนิติศาสตร์แต่ก็สนใจเรียนรู้ในด้านธุรกิจ ฝึกฝนตัวเองผ่านการเข้าคอร์สด้านการตลาด คิดว่าทำอย่างไรให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกสู่สายตาชาวโลกได้ ตรงนี้เป็นเสน่ห์ของสตาร์ทอัพคือไม่จำกัดความคิดของคน อยากให้อะไรเกิดขึ้นก็ศึกษา ทำมันอย่างเต็มที่ให้ตอบโจทย์ไอเดียที่เราคิดไว้”

          ศาสตราจารย์ ดร.อาณัติ ลีมัคเดช ผู้อำนวยการศูนย์ทรัพย์สินทางปัญญาและบ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ปัจจุบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สร้างนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมให้เกิดสตาร์ทอัพในหลากหลายโครงการ อาทิ การพัฒนา Thammasat Creative Space (TCS) บนพื้นที่กว่า 1,500 ตารางเมตร ที่ชั้น 1 หอสมุดป๋วย อึ๊งภากรณ์ เพื่อให้นักศึกษาจากทุกคณะได้มานั่งทำงานแลกเปลี่ยนความรู้กันในบรรยากาศที่สร้างสรรค์เกิด โมเดลธุรกิจใหม่ ๆ หรือการร่วมกับพันธมิตรอย่างธนาคารกรุงเทพในการส่งเสริม Startup จากภายนอก สามารถใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนาธุรกิจได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลดีกับการพัฒนาความรู้ของนักศึกษาและอาจารย์ด้วย

          แรงขับเคลื่อนของกลุ่ม TU Startup นับเป็นอีกพลังบริสุทธิ์ในการพัฒนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เปลี่ยนผ่านสู่อนาคต โดยที่ ดินสอ โดม สัญลักษณ์ที่อยู่ในหัวใจมายาวนานกว่า 84 ปี ยังคงโดดเด่นเช่นเดิม แต่เพิ่มเติมคือพลังของนักศึกษาร่นใหม่และ Inspiration ทางธุรกิจ ที่กําลังนําพวกเขาก้าวไปข้างหน้าในโลกดิจิทัล